วันรับประกาศนียบัตรนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6

           ทางโรงเรียนสารสาสน์เอกตราและคณะครู ได้จัดงานรับประกาศนียบัตร แก่นักเรียนที่สำเร็จการศึกษาระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ประจำปีการศึกษา 2557 เมื่อวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2558 ที่ผ่านมา ณ ห้องประชุม Auditorium อาคาร 6 เพื่อเป็นการแสดงความยินดีในการสำเร็จการศึกษา และแสดงเกียรติคุณความดีแก่นักเรียนทุกคน และให้เป็นขวัญกำลังใจที่จะประสบความสำเร็จในระดับมหาวิทยาลัยต่อไป


โอวาท ผอ.พิสุทธิ์ ยงค์กมล

          สวัสดีนักเรียนทุกๆคน ข้อคิดนักเรียนในวันนี้ คือ จงก้าวไปข้างหน้าอย่างต่อเนื่องมุ่งมั่น การอ่านหนังสือเพิ่ม สาม - สี่บรรทัดดีกว่าไม่อ่าน และปล่อยให้ความคิดตกตะกอนอยู่แค่นั้น คนที่เขียนหนังสือต้องการให้คนอ่าน อ่านย่อยหนังสือของเขาทั้งหมด หรือทั้งเล่ม หมายถึงเวลาที่เราอ่านหนังสือ มาสเซอร์เชื่อว่าพวกเราจะอ่านหนังสือค้างในเล่ม ไม่ว่าจะเป็นหนังสือสารคดี หรือหนังสืออะไรก็ตาม เวลาที่มีโอกาสได้กลับไปอ่านอีกให้อ่านเพิ่มสอง-สามหน้า หรือเพิ่มอีกสักหน้าก็ยังดี เพราะอย่างที่บอกว่าคนเขียนหนังสือเค้าอยากให้คนอ่าน อ่านย่อยของเขาทั้งหมด หรือทั้งเล่ม คนเราสมัยนี้อ่านอะไร ศึกษาใคร รู้จักใคร เพียงแค่ผิวเผิน ก็ด่วนสรุปว่าเขาดีหรือไม่ดี อ่านข้อมูลข่าวสารยังไม่ทันย่อยก็เอาไปเผยแพร่ อ่านหนังสือบทที่ 1 จากทั้งหมด 12 บท อ่านได้ 1 บทก็ด่วนสรุป เพราะร่างกายของเราจะตกตะกอน ตกผลึกทางความคิดอยู่เสมอโดยที่เราไม่รู้ตัว นั่นคือหนึ่งในกระบวนการที่ร่างกายพัฒนาเพื่อความอยู่รอด สังเกตุดูเวลาที่เราเจออุบัติเหตุ เราประสบภัย เราแก้ไขบางอย่างด้วยสัญชาตณาณ จริงๆนั่นก็คือความรู้ที่ตกตะกอนจากตาดู หูฟัง มือสัมผัส เท้าวิ่ง ท้องอิ่ม หรือหิว นี่คือโสตสัมผัส ประสาทสัมผัส ดังนั้นทุกๆวินาที แม้กระทั่งจนถึงตอนนี้ นักเรียนก็ยังคงเรียนรู้ ถึงบอกว่าจงก้าวไปข้างหน้าอย่างต่อเนื่องมุ่งมั่น

          มาสเซอร์อ่านหนังสือเล่มนึงหลายปีแล้วคือ ทฤษฎีสมรู้ร่วมคิด ทฤษฎีนี้เป็นตั้งแต่จุลภาคถึงมหภาค คือภาคที่ เล็กที่สุดจนถึงภาคที่ใหญ่ที่สุดมันเป็นการวางแผนของโลกตะวันตก โดยเฉพาะประเทศยักษ์ใหญ่ เพราะเขาขาดแคลนแรงงาน แรงงานแพง และเขาแข่งเรื่องนี้กับเราไม่ได้ เขาจึงสนับสนุนให้เอเชียสร้างบัณฑิตไปแข่งกับเขา ซึ่งเขารู้ดีว่าเราสร้างไม่ได้ สร้างได้ก็จำกัด ทั้งความหลากหลายเชิงคุณภาพ และความใหม่ เราก็ตามรอยเส้นทางการศึกษาของเขา เป็นอะไรที่เขาวางไว้ทั้งทางการศึกษา เศรษฐกิจ การเงิน และสังคม เขาจึงรู้หมดว่าคนไทยคิดอะไร และคิดอย่างไร เหมือนกับที่เขารู้ว่าการเมืองของเราเขาจะมาแทรกแซงเมื่อตอนไหน เขาจึงคาดการณ์และจับทางเราได้หมด แทรกแซงเราได้หมด ปัจจุบันสังคมแรงงานดูต่ำต้อย ถ้าจะถามว่าคำจำกัดความของคำว่า แรงงานคืออะไร ใครให้ข้อจำกัดได้ ในความเห็นส่วนตัวของมาสเซอร์ทุกคนต้องใช้แรงงานกันทั้งนั้น ต่างคนก็ใช้ความชำนาญต่างกัน หมอไปปลูกข้าวก็ไม่ได้ดีเท่ากับชาวนา ดอกเตอร์ตี ตอกตะปู ผสมปูน สร้างบ้านไม่ได้ นักวิเคราะห์โปรแกรมคอมพิวเตอร์ไปแล่นเรือจับปลาไม่ได้ มีหลายคนตอบตรงนี้ว่าถ้าทำไม่ได้ก็จ้างเขาทำก็ไม่ผิดกับตอบแบบกำปั้นทุบดิน แต่จะดีกว่าคิดแค่นั้นไหมถ้าเราพอมีความรู้ พอมีความพอเพียง เข้าใจและศรัทธา เหมือนเราเข้าใจในศาสนาอย่างลึกซึ้งถ่องแท้ เราก็จะเข้าใจศาสนาแบบไม่หลงทาง ดังนั้นคนเราจึงไม่ควรดูถูกอาชีพอื่นๆ ศาสนาอื่นๆ ความเชื่ออื่นๆที่ต่างไปจากเรา คนที่ยากจนกว่าเรา คนที่ขี้ริ้วขี้เหร่ คนที่โง่เขลากว่าเรา เขาอาจไม่ดีเท่าเรา แต่เขาอาจสุขกว่าเรา เขาอาจจะมีความสุขและสร้างประโยชน์ให้กับสังคมมากกว่าเรา สร้างบุญกุศลมากกว่าเรา สังคมไทยมักชอบอยู่กับผลของการกระทำ มากกว่าหาสาเหตุออกมาวิเคราะห์และยอมรับเพื่อปรับปรุงพัฒนา จึงอยากฝากข้อคิดเรื่องการให้เกียรติกับวิชาชีพอื่นนอกเหนือจากของตนเอง มหาวิทยาลัยเป็นจุดปลูกฝังขั้นต่อไปสำหรับพวกเราทุกคนจึงอยากจะให้พวกเราสั่งสมไม่ว่าจะเป็นความคิดอ่านหรือแนวทางความคิดของเรา จงสั่งสมความคิดที่ดี สั่งสมแนวทางความคิดที่ดี แนวทางปฏิบัติที่ดีแล้วนักเรียนจะมีความสุข ความเจริญ

          วันนี้เป็นวันสุดท้ายที่เราจะใส่ชุดที่เราหลายคนเบื่อที่จะใส่ เบื่อที่จะรีดให้เรียบร้อย เบื่อที่จะติดกระดุมเม็ด ล่างสุด เบื่อที่เราจะต้องใส่รองเท้าให้มันดูดี เบื่อที่จะต้องใส่เนคไท สารพัดเบื่อ วันนี้เธอเป็นไทเธอไม่ต้องใส่แล้ว แต่ถึงแม้ว่าเธอจะถอดเครื่องแบบออก ถึงแม้ว่าเธอจะเอาเสื้อผ้าทั้งหมดโยนใส่เตาเผาหรือไปทิ้งให้ใคร ใช่มันเป็นสิทธิ์ของเรา แต่เลือดในตัวเธอ ความคิดอ่านในตัวเธอ สิ่งที่ตกผลึกอยู่ในตัวเธออย่างน้อยก็ชื่อว่าสง่างาม มันปฏิเสธไม่ได้ว่าครั้งหนึ่งในชีวิตว่าเราเป็นเด็กเอกตรา I was, I am, I will be and I will always be เธอไม่สิทธิ์ที่จะปฏิเสธว่าเธอไม่เคยเป็นเด็กเอกตรา เธอไม่เคยขึ้นมารับประกาศนียบัตร ดังนั้นในวันข้างหน้าลูกๆเอกตราทุกคนจงเดินอย่างสง่าผ่าเผยในสังคม ถ้าเราทำความดี คิดดี สั่งสมสิ่งดี แม้จะไม่ได้เรียนในมหาวิทยาลัยดีๆอย่างมหาวิทยาลัย Top five หรือแม้กระทั่ง Top Ten ก็ไม่ต้องไปอาย มาสเซอร์บอกกับคนอื่นหลายๆคนเสมอว่า ตัวมาสเซอร์เองก็ไม่ได้จบจากสถาบันใหญ่โตอะไรเลยในเมืองไทย เป็นวิทยาลัยครูธรรมดาๆ ซึ่งเดี๋ยวนี้เปลี่ยนไปเป็นคำว่าราชภัฏ แต่มาสเซอร์ก็ภูมิใจในตัวของมาสเซอร์เองว่า คนมันจะดีไม่ต้องไปโทษใครมันดีที่ตัวเอง คนมันจะเลวไม่ต้องไปโทษใครโทษที่ตัวเอง เธอมาได้ครึ่งทางของชีวิต ของการศึกษา ที่เหลือเธอกำหนดเอาเอง จะเดินให้สง่าหรือจะเดินลุ่มๆดอนๆอยู่ที่ตัวเอง ขอให้วันนี้เป็นวันแห่งความสงสัย ใครจะดูถูกเราช่างเขา เราอย่าดูตัวเองเป็นพอ เราอย่าดูถูกเชื้อสายพ่อแม่ของเรา และเราอย่าดูถูกสถาบันเก่าของเราเท่านั้น ลูกศิษย์เอกตราทุกคนทำอะไรก็จะประสบแต่ความสุข ความเจริญ ความสำเร็จ สำหรับวันนี้เป็นปัจฉิมโอวาทที่นายพิสุทธิ์ ยงค์กมล คงจะให้เด็กนักเรียน ม. 6 เป็นครั้งสุดท้าย ขอให้จดให้จำไว้บ้าง ในนี้สัก 10 คน จำสิ่งที่มาสเซอร์พูดและนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์มาสเซอร์ก็พอใจ ขอบใจนักเรียนทุกคนที่ตั้งใจฟัง จงรักษาเกียรติน้ำเงินเหลืองให้ดีเท่าชีวิต แล้ววันหนึ่งเธอจะไม่เสียดายที่เกิดมาแล้วบอกว่า เราคือเอกตรา ถึงแม้ว่าจะเป็นอดีตแต่ก็เป็นอดีตที่ทำให้เราได้รู้จักกัน ขอให้นักเรียนทุกคนโชคดี ขอให้แม่พระ ขอให้นักบุญดอมินิกโก ซาวีโอ คุ้มครองให้พวกเราทุกคนมีแต่ความสุขความเจริญ ให้ครอบครัวมีความรักความอบอุ่น โชคดี และสวัสดี



.